ฉบับเดือนธันวาคม 2566

เศรษฐกิจใหม่ วิถีใหม่ ทักษะใหม่ในโลกอนาคต
(New economy, New Normal, New skill in the Future World)

ช่วงที่ผ่านมา หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับการเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกดิจิทัล (Digital Transformation) ของหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นสาธารณสุข การเงิน หรือแม้กระทั่งในภาครัฐก็ตาม

แต่อีกหนึ่งส่วนที่มีความสำคัญอย่างมาก คือในสาขา “วิศวกรรม” ที่ต้องเจอความเปลี่ยนแปลงจากเทคโนโลยีมาอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ศาสตร์อย่างวิศวกรรมศาสตร์จะเป็นศาสตร์ที่มีความใกล้ชิดกับเทคโนโลยีก็ตาม

เมืองอัจฉริยะ อุตสาหกรรม กับการปรับตัวเข้าโลกดิจิทัล

ดร.วิกรม วัชระคุปต์ ประธานกรรมการคลัสเตอร์วัสดุก่อสร้างและกรรมการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ชี้ว่า แวดวงวิศวกรรมของไทยเริ่มต้นมาจากวิศวกรรมโยธาที่เน้นการก่อสร้างเป็นหลัก และเป็นอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก ความสามารถในการผลิต (productivity) ถือว่าต่ำ และที่ผ่านมามีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลน้อยกว่าที่ควรจะเป็น

อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมนี้ก็มีความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลง ในสภาอุตสาหกรรมเองสมาชิกที่อยู่ในสภาซึ่งเป็นธุรกิจระดับกลางและเล็ก ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้ผลิตชิ้นส่วนและรับจ้างผลิตเทคโนโลยีต่างๆ เป็นส่วนใหญ่ มีความพยายามในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้งาน และทำให้เกิดการเชื่อมโยงเข้ากับศาสตร์และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่อยู่นอกสายของตนเอง

ในมิติของการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (smart city) และเศรษฐกิจหมุนเวียน (circular economy) การปรับตัวสู่เทคโนโลยีในระดับวิศวกรรมมีความสำคัญ เพราะในแง่หนึ่ง เราต้องลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมและใช้ทรัพยากรให้น้อยที่สุด การที่เราจะรู้และพัฒนาสิ่งเหล่านี้ ก็จะต้องรู้มิติของเมืองต่างๆ ซึ่งการนำเทคโนโลยีมาใช้และมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างมากที่จะทำให้โครงการประสบความสำเร็จ

ปัญหาที่เจอขณะนี้คือ ความเข้าใจด้านเทคโนโลยีที่ยังมีน้อย และยังทำกันไม่เต็มนิเวศแบบครบวงจร (ecosystem) ตัวอย่างเช่น การสร้างรถไฟความเร็วสูงที่ไทยร่วมมือกับจีน ผู้รับเหมาและความรู้ทั้งหมดกลายเป็นบริษัทจากจีนทั้งหมด ทางออกที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้เป็นการชั่วคราว คือการใช้วิธีจ้าง (outsourcing) ประเทศอื่นเป็นการชั่วคราว ระหว่างที่รอการพัฒนาบุคลากรให้พร้อม เพื่อให้ใช้โอกาสต่างๆ ได้เป็นประโยชน์มากที่สุด

ปัญญาประดิษฐ์และนวัตกรรมจะเป็นสิ่งสำคัญที่กำหนดอนาคต

ด้าน ดร.ชิต เหล่าวัฒนา อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญพิเศษของโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ระบุว่า ทิศทางในอนาคตที่จะมุ่งเน้นไปที่เรื่องของปัญญาประดิษฐ์และนวัตกรรม จะเป็นทิศทางที่กำหนดอนาคตของประเทศ เนื่องจากอุตสาหกรรมของไทยนั้นยังไม่สามารถกระโดดไปสู่อนาคตได้

ที่ผ่านมา ไทยมีบทบาทด้านอุตสาหกรรมที่ไม่ได้โดดเด่นนัก การเกิดขึ้นของโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard Development Program: ESB) ในสมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ คือการพัฒนาเชิงพื้นที่ซึ่งมีส่วนกับการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและรถยนต์ของไทย ซึ่งมีผลในการขยายตัวทางเศรษฐกิจทางอ้อม แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง โครงการดังกล่าวกลับหยุดนิ่ง เนื่องจากอุตสาหกรรมของไทยนั้นเน้นไปที่เรื่องของการผลิตเป็นหลัก พอถึงช่วงของอุตสาหกรรมยุคใหม่ จึงจำเป็นที่จะต้องมีวิธีคิดที่ต่างออกไป

โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี จึงเกิดขึ้น โดยตั้งโจทย์ว่า อุตสาหกรรมที่จะมีบทบาทอย่างมากในพื้นที่ดังกล่าว จะต้องเป็นอุตสาหกรรมสะอาด ใช้มลพิษน้อย รวมถึงสร้างประโยชน์และคุณค่าให้กับประเทศไทยได้ในระยะยาว ซึ่งทำให้ทางอีอีซี พุ่งตรงไปยังประเด็นการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมยุคใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นหลัก

สิ่งที่อีอีซีมองเห็น คือการพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่จะมีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) เป็นแกนหลักในการพัฒนา ทำให้เราสามารถพัฒนาศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันได้ดียิ่งขึ้น และจะก่อให้เกิดอาชีพใหม่ๆ ขึ้นมาจำนวนมาก พร้อมกับนวัตกรรมต่างๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่า อาจจะมีผู้ตกงานจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องมีการฝึก (reskill) เพื่อให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบ สามารถดำรงอาชีพได้ดีต่อไป

ในเชิงพื้นที่ ไทยยังมีความได้เปรียบ ตัวอย่างเช่นการเข้ามาตั้งศูนย์กระจายสินค้าในภูมิภาคเอเชีย (Distribution Center: DC) ของอาลีบาบาในไทย เกิดจากจุดแข็งด้านภูมิศาสตร์ซึ่งไทยมีเหนือประเทศอื่น และการค้าบนอินเทอร์เน็ตที่จะต้องอาศัยการขนส่ง ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอาศัยข้อได้เปรียบเหล่านี้

สำคัญก็คือ ไทยเองจำเป็นที่จะต้องมีวาระแห่งชาติด้านปัญญาประดิษฐ์ (National AI Agenda) ที่สอดคล้องกับการพัฒนาของระบบการติดต่อสื่อสาร 5G ที่จะต้องสอดรับไปพร้อมกัน ซึ่งอาจารย์ชิตชี้ว่า หนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญคือการให้ภาครัฐมีส่วนในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เนื่องจากโครงสร้าง 5G ต้องลงทุนมหาศาล การลงทุนที่เกิดจากภาครัฐจะทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการเอกชนต่ำลงและแข่งขันในตลาดโลกได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม

5G ในฐานะอนาคตของโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการเปลี่ยนสู่โลกดิจิทัล

ดร.อนันต์ วรธิติพงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทย ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัลที่สำคัญอย่างมากคือการมีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานวิศวกรรมที่ทุกอย่างต้องเป็นเรื่องของการสื่อสารแบบทันท่วงที (real-time communications) ซึ่งการติดต่อและสื่อสารด้วยเทคโนโลยี 5G ถือเป็นคำตอบนั้น ด้วยเหตุผลหลายประการ

  1. เทคโนโลยี 5G มีคุณสมบัติในการรองรับการใช้งานปริมาณมาก (high bandwidth) ซึ่งจะรองรับปริมาณของอุปกรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เซ็นเซอร์หรือตัวตรวจจับต่างๆ ที่มาพร้อมกับพัฒนาการของอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things: IoT) ที่อุปกรณ์ต่างๆ จะสื่อสารกันเองได้บนอินเทอร์เน็ต
  2. ด้วยเทคโนโลยีที่มีความหน่วง (latency) ต่ำ ทำให้สามารถติดต่อสื่อสารกับอุปกรณ์ต่างๆ ได้ด้วยความรวดเร็ว และสามารถเปิดช่องให้ควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ได้แทบจะทันท่วงที ไม่มีการล่าช้า ผู้ดำเนินการควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ สามารถทำงานได้ทันทีจากระยะไกล
  3. การรับและส่งข้อมูลต่างๆ จะดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว ทำให้การติดต่อประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ ดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วและไม่เสียเวลา เพิ่มความสามารถในการสร้างความร่วมมือ (collaboration) แต่ละฝ่ายอย่างรวดเร็วมากขึ้น

ในกรณีของประเทศไทยที่ไม่ได้มีบทบาทในการพัฒนาเทคโนโลยี 5G โดยตรง แต่เป็นผู้ประยุกต์ใช้งาน สิ่งที่เราต้องคิดคือ เทคโนโลยีเหล่านี้มีส่วนช่วยทำให้เราทำงานได้เร็วขึ้นและปรับตัวได้เร็วขึ้น ในแง่ของวิศวกรรมทั่วไป สิ่งที่จำเป็นคือ ความเข้าใจเทคโนโลยีที่ต้องมีการเรียนการสอน ซึ่งถ้าวิศวกรเข้าใจก็จะสามารถนำไปต่อยอดได้เอง เช่น การติดตั้งตัวตรวจวัดในระบบของโรงงาน เป็นต้น

วงการวิศวกรรมไทยยังต้องปรับตัวอีกมาก เพื่อให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง

ดร.ธเนศ วีระศิริ นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) ระบุว่า วงการวิศวกรรมของไทย แม้จะมีเรื่องของดิจิทัลเข้ามาน้อยมาก แต่ก็ต้องปรับตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของวิศวโยธา โดยเน้นไปที่เรื่องของการพัฒนาบุคลากรและการเพิ่มผลผลิต ตอนนี้พอจะเห็นการพัฒนาในเรื่องนี้บ้าง เช่น การที่บริษัทปูนซีเมนต์ไทยกำลังจะสร้างเจดีย์ขนาด 9 เมตร โดยใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติในการสร้าง ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมที่สำคัญอย่างมาก

กระบวนการพัฒนาด้านดิจิทัลเหล่านี้ ทำให้เกิดความสามารถใหม่ๆ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีอย่างแฝดเสมือนบนดิจิทัล (digital twin) ซึ่งทำให้เราสามารถสร้างตัวแบบ (model) ดิจิทัล นำไปใช้คาดการณ์ต่างๆ ได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม วิศวกรกว่า 250,000 คนนั้น คนที่เข้าใจกระบวนการและประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลนั้นอาจมีอยู่ไม่มากพอ

สิ่งที่จำเป็นคือการต้องกลับมาฝึก (retrain) ความรู้เหล่านี้ให้กลับมามากขึ้น จะทำให้คนเริ่มกลับมาเข้าใจกระบวนการดิจิทัลที่เชื่อมโยงเข้ากับวิศวกรรม และยังประโยชน์ให้กับวงการวิศวกรรมของประเทศในระยะยาว

ที่มา : การปรับตัวสู่โลกดิจิทัล ในมุมมองจากโลกวิศวกรรม ถึงเวลาแล้วที่ต้อง Reskill | THE MOMENTUM



ทักษะแห่งอนาคตคืออะไร?
ทักษะแห่งอนาคต หรือ future skill คือทักษะที่คาดการณ์กันว่าจะเป็นที่ต้องการมากขึ้นในอนาคต ซึ่งพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งในเรื่องทิศทางของเศรษฐกิจ เทคโนโลยี สังคม และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง หากคุณสามารถพัฒนาตัวเองให้มีความพร้อมด้านทักษะแห่งอนาคต ไม่ว่าจะด้วยการฝึกฝนหรือประยุกต์ใช้ทักษะได้ก่อนใคร คุณก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จด้านหน้าที่การงานในอนาคต แต่ก่อนอื่นต้องไปทำความเข้าใจก่อนว่าทักษะดังกล่าวแบ่งได้อย่างไรบ้าง

Hard skills 
hard  skill คือความสามารถหรือทักษะที่บุคลากรในแต่ละสายอาชีพใช้ในการทำงาน โดยสามารถประเมินผลได้อย่างเป็นรูปธรรม เช่น การใช้เครื่องมือ การใช้โปรแกรม การอ่าน การเขียน การคำนวณ การวาดภาพ การวิจัย และการทำอาหาร เป็นต้น อาจสรุปได้ว่า hard skill ก็คือทักษะทางวิชาชีพ

Soft skills 
soft skill คือความสามารถหรือทักษะเฉพาะของแต่ละบุคคลที่การประเมินผลสามารถทำได้ยาก เช่น มนุษยสัมพันธ์  การปรับตัว ความคิดสร้างสรรค์ การควบคุมอารมณ์ การบริหารเวลา และการเป็นผู้นำ เป็นต้น อาจสรุปได้ว่า soft skill ก็คือทักษะทางบุคลิกภาพ นั่นเอง

5 ทักษะมาแรงแห่งอนาคตที่จำเป็นต้องเรียนรู้

แม้ไม่มีใครรู้ว่าทักษะแห่งอนาคตที่ผู้ประกอบการในยุคปี 2030 ต้องการให้บุคลากรมีนั้นคืออะไรบ้าง แต่จากการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ที่เปิดเผยโดยมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่งทั่วโลก ได้ระบุถึง 5 ทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานในอนาคตไว้ดังนี้

1. ทักษะการเรียนรู้และปรับตัวเข้ากับสิ่งใหม่ๆ
เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา มีข้อดีที่ช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตหรือทำงานได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น แต่การจะใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นให้มีประสิทธิภาพสูงสุด คุณจะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจในกระบวนการทำงานของสิ่งนั้นเสียก่อน ลองสำรวจตัวเองดูว่าคุณมีความสามารถในการปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเข้ามา รวมถึงรับมือกับการทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้หรีอไม่ ถ้าคุณตอบว่าใช่ นั่นก็แปลว่าคุณมีทักษะแห่งอนาคตที่เหมาะกับการทำงานในตำแหน่งสูงๆ ซึ่งเป็นที่ต้องการตัวจากทั้งบริษัท หัวหน้า และเพื่อนร่วมงานของคุณ

2. ทักษะความรู้ด้านดิจิทัลและการคิดเชิงคำนวณ
จะเห็นได้ว่าปัจจุบันมีเครื่องมือต่างๆ มากมายที่ใช้สำหรับการทำงาน เช่น การเขียนโปรแกรม จัดการระบบฐานข้อมูล รวมถึงอะไรก็ตามที่ต้องใช้ทักษะขั้นสูงในการดำเนินงาน นั่นทำให้ความต้องการบรรดาคนที่มีทักษะด้านดิจิทัลขั้นสูงเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง คุณอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับ STEM มาจากที่ไหนสักแห่ง แต่เราไม่แน่ใจว่าคุณพอจะเห็นเรื่อง SMAC (social, mobile, analytics และ cloud) ผ่านตาบ้างไหม เจ้าสิ่งนี้คือเรื่องที่คุณควรศึกษาเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้คุณเข้าใจว่าบรรดาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), machine learning, Internet of Things (IoT) และ data science คืออะไรและมีความสำคัญอย่างไรในอนาคต

3. ทักษะความเป็นผู้นำและความสามารถในการตัดสินใจ
แม้ว่าหุ่นยนต์และเทคโนโลยีอัตโนมัติต่างๆ จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการทำงานแทนที่มนุษย์ในหลายๆ ด้าน เช่น การคำนวณ และการตรวจสอบปัญหา ถึงอย่างนั้น มนุษย์เราก็ยังเป็นผู้ที่คอยจัดการข้อมูล และทำการวิเคราะห์เพื่อหาทางออกหรือผลลัพธ์ที่ต้องการอยู่ดี ตอนนี้พวกเราทุกคนกำลังอยู่ในจุดสิ้นสุดของยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 นั่นหมายความว่างานทุกสิ่งทุกอย่างที่มีการดำเนินงาน ยังคงต้องการใครสักคนมาคอยตัดสินใจและชี้ทิศทางที่เหมาะสมในการทำงาน จากการวิเคราะห์เรื่องตัวเลขและรายละเอียดต่างๆ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าใจได้ว่าสิ่งนั้นมีความสำคัญอย่างไร รวมถึงจะนำข้อมูลที่มีอยู่แล้วไปพัฒนาอะไรต่อได้บ้าง

4. ทักษะด้านความฉลาดทางอารมณ์และการเข้าสังคม
ทุกคนคาดการณ์ไว้ว่าในอนาคตทุกสิ่งจะถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ แต่สิ่งเหล่านั้นไม่อาจเข้ามาแทนที่ความฉลาดทางอารมณ์และความสามารถในการเข้าสังคมของมนุษย์อย่างพวกเราได้ เพราะนี่คือหนึ่งในทักษะแห่งอนาคตสุดแสนพิเศษที่มีอยู่ในตัวพวกเราทุกคน ทักษะด้านความฉลาดทางอารมณ์และการเข้าสังคมมีความสำคัญมากในงานหลายประเภท เช่น งานด้านสุขภาพมีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยคนที่เข้าใจเพื่อนมนุษย์ในการทำงานนี้ หากงานของคุณในอนาคตจำเป็นต้องทำงานอย่างใกล้ชิดกับคนอื่น ความเห็นอกเห็นใจจึงเป็นสิ่งที่ควรมีอย่างยิ่ง รวมถึงการมีทักษะการสื่อสารที่ยอดเยี่ยม ทักษะเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถทำงานร่วมกันกับผู้อื่นได้อย่างราบรื่น

5.ทักษะความคิดสร้างสรรค์และการคิดเชิงนวัตกรรม
World Economic Forum ได้เปิดเผยรายงานในปี 2018 ว่าอนาคตอันใกล้ หุ่นยนต์อัตโนมัติจะสามารถทำงานและสร้างผลผลิตได้มากกว่าตำแหน่งงานเดิมที่มนุษย์อย่างพวกเราทำอยู่ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรกังวลมากเกินไป หากคุณมีทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ ที่สามารถนำไปใช้คิดค้นไอเดียหรือนวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นได้ เช่นเดียวกับการมีทักษะเข้าสังคมที่ยอดเยี่ยม การมีความคิดสร้างสรรค์ยังคงเป็นทักษะแห่งอนาคตที่ไม่สามารถแทนที่ได้ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลล่าสุด เพราะตราบใดที่คุณยังคงคิดนอกกรอบจากโจทย์ที่มีอยู่ได้ อนาคตของคุณก็ยังเต็มไปด้วยสิ่งดีๆ ที่รออยู่อย่างแน่นอน

ที่มา : ทักษะแห่งอนาคตที่ควรเรียนรู้เพื่อความก้าวหน้าในอาชีพ (truedigitalpark.com)


ใส่ความเห็น