สังคมแห่งความรักและการแบ่งปัน (Loving and Sharing Society)

ถ้าจะพูดถึงคำว่า “ความสุข” เรานึกถึงอะไรบ้าง มีอะไรบ้างที่จะทำให้เรามีความสุขได้ บางคนอาจจะตอบว่า ความสุข คือ การได้เกรด 4 ทุกวิชา การได้รับในสิ่งที่ปรารถนา การได้ไปเที่ยว การได้พักผ่อน หรือการเก็บออมเงินให้ได้เยอะๆ แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ ย่อมสร้าง “ความสุข” ให้เกิดขึ้นได้ แต่ถ้าเราลองเปลี่ยน “ความสุขจากการเป็นผู้ได้รับ” มาเป็น “ความสุขจากการเป็นผู้ให้” เราจะมีความสุขได้หรือไม่
“ความสุขจากการเป็นผู้ให้” นั้นสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายๆ เพราะเป็นความสุขจากการเสียสละเพื่อส่วนรวม ซึ่งน่าสนใจที่ว่าประเด็นง่ายๆ นี้ คนไทยก็ให้ความสำคัญและศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเรื่องการเป็นผู้ให้ที่เชื่อมโยงไปสู่การมีความสุข จนนำมาสู่ผลงานวิจัยของต่างประเทศซึ่งตีพิมพ์แพร่หลายในวารสาร Science พบว่า การให้ในรูปแบบของ “เวลา” เช่น การทำงานอาสาสมัครและงานการกุศลต่างๆ จะส่งผลบวกต่อระดับความสุขมากกว่าการให้ในรูปแบบของทรัพย์สินเงินทอง นั่นหมายความว่า การให้ “เวลา” เพื่อทำประโยชน์ต่อส่วนรวมสามารถสร้างความสุขให้กับผู้นั้นได้มากกว่าการมอบเงินทองของมีค่า เพราะฉะนั้นคงไม่จำเป็นต้องรอให้โตขึ้นแล้วค่อยเป็นผู้ให้ วัยรุ่นยุคใหม่ก็สามารถเป็นผู้ให้ได้ตั้งแต่ตอนนี้ เริ่มต้นจากการให้สิ่งเล็กๆ ง่ายๆ ให้กับสังคมใกล้ๆ ตัว เช่น ที่บ้าน ที่โรงเรียน เพื่อนบ้านข้างๆ หรือให้เวลาในการทำประโยชน์เพื่อชุมชนที่เราอยู่

“การให้” สำคัญต่อมนุษย์อย่างไร
นอกจากความสุข ความอิ่มเอมใจแล้ว การรู้จักเป็นผู้ให้ต่อส่วนรวมสามารถช่วยพัฒนาตัวเราให้มีความคิดในด้านบวกและสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคมได้
เพราะการให้…ทำให้เรารู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่นและมองเห็นคุณค่าของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
เพราะการให้…สามารถสร้างความสามัคคีให้เกิดในสังคม นำมาสู่ความอบอุ่นใจ ความมั่นคง และความสุขของคนในสังคมนั้นๆ
เพราะการให้…ทำให้เรามองเห็นและยกย่องในคุณค่าของตัวเราเอง
เพราะการให้…ทำให้เราไม่นิ่งดูดายกับความเดือดร้อน
หากสังคมของเราเต็มไปด้วยผู้ที่รู้จัก “ให้” สังคมของเราจะน่าอยู่แค่ไหน ทุกคนคงจะมีความสุขมากขึ้น เพราะไม่ต้องรอให้มีเงินถึงจะมีความสุข ไม่ต้องรอให้มีเงินเพื่อจับจ่ายให้ได้มาในสิ่งที่ปรารถนา เราทุกคนสามารถพบความสุขได้ง่ายๆ ในทุกๆ วันจากการนึกถึงเพื่อนมนุษย์และทำประโยชเล็กๆ น้อยๆ ทุกอย่างเพื่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการมีจิตสาธารณะ
“สังคมจะน่าอยู่…เพียงแค่ทุกคนลงมือทำเพื่อหวังให้ผู้อื่นมีความสุข”

เราจะอาจคุ้นเคยกันดี กับคำว่า “จิตสาธารณะ” ที่เป็นการช่วยเหลือผู้อื่นในด้านต่างๆ หรือการเป็นอาสาสมัคร แต่จริงๆ จิตสาธารณะนั้น คือ ความรู้สึกนึกคิด การตระหนักในความเป็นเจ้าของในสิ่งที่เราทุกคนใช้ประโยชน์ร่วมกัน การใช้สิทธิและหน้าที่ที่จะดูแล รวมทั้งการบำรุงรักษาสิ่งของซึ่งเป็นของส่วนรวมร่วมกัน เช่น การช่วยกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมโดยไม่ทิ้งขยะลงพื้น ไม่ทิ้งขยะลงในแหล่งน้ำ การดูแลรักษาสาธารณสมบัติ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ในห้องเรียน ในโรงเรียน ถนนหนทางที่เราใช้สอยร่วมกัน วัดวาอาราม ในหมู่บ้าน การร่วมกันใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างประหยัดและใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงการช่วยเหลือผู้อื่นตามกำลังที่เราสามารทำได้ โดยต้องไม่ทำให้ตนเองและคนรอบข้างเดือดร้อนและไม่ขัดต่อกฎหมายบ้านเมือง
นอกจากนี้ การมีจิตสาธารณะยังเป็นการตระหนักรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัว หรือ ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมของเรา มองเห็นว่าแม้จะเป็นเล็กๆ แต่หากทุกคนละเลยนิ่งเฉย ปัญหาเล็กๆ นั้นสามารถสั่งสมจนกลายเป็นปัญหาที่ยากต่อการแก้ในที่สุด ผู้ที่มีจิตสาธารณะจะตระหนักว่า ปัญหามีผลเสียอย่างไร ส่งผลกระทบถึงใครบ้าง ทำให้เกิดความรู้สึกปรารถนาที่จะมีส่วนร่วมและมีส่วนช่วยแก้ไข โดยรับรู้ถึงสิทธิควบคู่ไปกับหน้าที่รับผิดชอบของตัวเราที่มีต่อสังคม รับรู้ถึงพลังของตัวเรา ว่าเราสามารถร่วมแก้ไขปัญหาได้ และลงมือกระทำเพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาด้วยวิธีการต่างๆ โดยการเรียนรู้และแก้ไขปัญหาร่วมกันกับคนในสังคม เพราะการอยู่ร่วมกันจำเป็นที่จะต้องอาศัยความมีน้ำใจไมตรี การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การช่วยเหลือเกื้อกูลกันโดยไม่หวังผลตอบแทน การดำรงชีวิตในสังคมที่มีการช่วยเหลือกัน ถึงแม้ว่าเรื่องราวหรือเหตุการณ์นั้นไม่มีความเกี่ยวข้องกับเราหรือเราไม่ได้รับผลกระทบนั้นด้วย แต่เราเต็มใจที่จะแบ่งปัน ให้การช่วยเหลือ เอื้ออาทรกัน นั่นก็แสดงให้เห็นถึงความมีจิตสาธารณะแล้ว
จะเห็นได้ว่าการเป็นผู้มีจิตสาธารณะนั้น เป็นสิ่งที่ต้องฝึกปฏิบัติและควรหมั่นทำอยู่เสมอ เพื่อให้เราตระหนักเห็นความสำคัญของการเป็น “ผู้ให้” เพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม นอกจากสละเวลาแล้ว การแบ่งปันสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เรามีอยู่ให้กับคนรอบข้าง การตระหนักถึงปัญหาที่เรากำลังเผชิญว่าเรามีส่วนในการต้องช่วยกันแก้ไข เมื่อมองเห็นปัญหาแล้วต้องไม่นิ่งเฉย แต่ต้องเชื่อว่า เราสามารถร่วมแก้ไขปัญหานี้ได้ โดยไม่จำเป็นให้เราต้องแก้ไขปัญหานั้นเพียงลำพัง แต่เราสามารถคิดหาแนวทาง ว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง เพื่อช่วยให้ปัญหานั้นหมดไปหรือบรรเทาเบาบางลง ตามกำลังและความสามารถที่เรามี
“คงจะเห็นแล้วว่าการขาดความมีจิตสาธารณะนั้นส่งผลกระทบต่อการอยู่ร่วมกันมากแค่ไหน หากทุกคน
ไม่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม ไม่รับผิดชอบต่อสังคม การอยู่ร่วมกันของคนในสังคม ในประเทศ
และในโลก ย่อมมีแต่ความขัดแย้ง ขาดความสงบสุข และเรา…ผู้ซึ่งต้องอาศัยอยู่ในสังคมนี้จะมีความสุขอย่างไร หากสังคมปราศจากความมีน้ำใจให้แก่กันและกัน”
ที่มา : สุขที่ได้ให้ – มูลนิธิยุวพัฒน์ (yuvabadhanafoundation.org)
การมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่นเป็นสิ่งจำเป็นในการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์

ทักษะการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น
การมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่นเป็นสิ่งจำเป็นในการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์ พัฒนาการทางสังคมและความคิดความเข้าใจของบุคคล พัฒนาขึ้นจากการมีสัมพันธภาพกับผู้อื่น เอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล ความสำเร็จในอาชีพ การค้นพบความหมายของชีวิตและสุขภาพจิต ล้วนได้รับผลกระทบจากสัมพันธภาพระหว่างบุคคล
มนุษย์แต่ละคนถูกหล่อหลอมจากประสบการณ์ให้มีความคิด ความเชื่อ ทัศนคติ และค่านิยม ที่แตกต่างกัน ดังนั้นการเชื่อม ความสัมพันธ์ระหว่างคน 2 คน จึงต้องอาศัยความเข้าใจถึงปัจจัยที่สำคัญที่ส่งผลต่อสัมพันธภาพที่มีระหว่างกัน เพื่อบุคคลทั้งสองฝ่าย จะได้ประสบความสำเร็จในการสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน
คุณค่าของสัมพันธภาพระหว่างบุคคล
บุคคลเรียนรู้จักตนเองได้จากการมีความสัมพันธ์กับผู้อื่น จากสัมพันธภาพนี้ บุคคลจะได้รู้จุดเด่น และจุดด้อยของตนเอง รู้และเข้าใจถึง ความแตกต่างระหว่างบุคคล รวมทั้งเรียนรู้ความเป็นจริงของโลก โดยสัมพันธภาพอันดีระหว่างบุคคล จะช่วยให้การเรียนรู้ เป็นไปโดยไม่บิดเบือน มีการยอมรับและเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างที่เป็นจริง ดังนั้นสัมพันธภาพอันดีระหว่างบุคคล จึงเป็น กุญแจสำคัญที่จะนำบุคคลไปสู่ การพัฒนาเอกลักษณ์ของตนเอง การมีความรู้สึกว่าชีวิตมีความหมายและมีคุณค่า และการมีสุขภาพจิตที่ดีและสามารถพัฒนาตนให้ไปถึงศักยภาพสูงสุดของตนได้ แต่บุคคลที่ไม่สามารถสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่นได้ จะรู้สึกอ้างว้าง โดดเดี่ยว เกิดความรู้สึกว่าชีวิตไร้ความหมาย และนำไปสู่ความรู้สึกซึมเศร้า และท้อแท้ในชีวิต และการมีพฤติกรรม ที่เป็นปัญหาได้ เช่น พฤติกรรมแยกตัวจากสังคม การติดยาเสพติด เป็นต้น
การสร้างและคงไว้ซึ่งสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่นจะเกิดบรรลุผลได้ ต้องอาศัยคุณลักษณะที่สำคัญของบุคคล ในการยอมรับ และส่งเสริมซึ่งกันและกัน และนอกจากนี้ ปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ทักษะการสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่น อันได้แก่ การเปิดเผยตนเอง การไว้วางใจซึ่งกันและกัน และการสื่อสารความเข้าใจ
ทักษะการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่นเป็นสิ่งจำเป็น
สัมพันธภาพระหว่างบุคคลเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ บางคู่เกิดขึ้นเป็นแค่เพียงความรู้จัก บางคู่เป็นความสนิทสนม กลายเป็นเพื่อนรัก คู่รัก หรือคู่สมรส บางคู่สัมพันธภาพมีอันต้องสิ้นสุดลง ด้วยความเบื่อหน่ายหรือทุกข์ใจ ซึ่งสัมพันธภาพระหว่างบุคคล จะเริ่มต้นและดำเนิน ไปอย่างลึกซึ้ง หรือมีอันต้องสิ้นสุดลงนั้น ขึ้นกับทักษะการสร้างสัมพันธภาพระหว่างกัน
การเริ่มต้นของสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน จนสัมพันธภาพนั้นได้พัฒนาต่อไปเป็นความแน่นแฟ้นลึกซึ้ง และรักษาให้สัมพันธภาพ อันดีนี้ยั่งยืนตลอดไป ไม่ใช่เรื่องง่าย หากแต่จะต้องอาศัยทักษะที่สำคัญหลายประการด้วยกัน ซึ่งทักษะแห่งการสร้าง สัมพันธภาพ ที่ดีต่อกันนี้ มิใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้เอง แต่จะต้องอาศัยการฝึกฝนหรือฝึกหัด ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ทักษะการสร้าง สัมพันธภาพระหว่างบุคคล เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์
มิตรภาพจะก่อเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยเวลา ความพยายาม และทักษะการสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน
การสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น อาจเป็นไปได้ใน 3 รูปแบบ คือ
รูปแบบที่ 1 เป็นรูปแบบที่ง่ายที่สุด คือ การรอคอยให้ผู้อื่นก้าวเข้ามาผูกมิตรด้วย
รูปแบบที่ 2 เป็นรูปแบบที่ยากขึ้น คือการขอให้ใครสักคนเป็นเพื่อนด้วย ซึ่งเรามักจะรู้สึกเสี่ยงต่อการถูกปฏิเสธ
รูปแบบที่ 3 เป็นรูปแบบในการสร้างสัมพันธภาพที่ดี ด้วยการให้มิตรภาพแก่ผู้อื่น ซึ่งความสัมพันธ์ของบุคคลในระยะยาว การสร้างสัมพันธภาพรูปแบบนี้ให้ผลที่แน่นอนที่สุด
การมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่นเป็นสิ่งจำเป็นในการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์ พัฒนาทางการสังคมและความคิดความเข้าใจของบุคคล พัฒนาขึ้นจาก การมีสัมพันธภาพกับผู้อื่น เอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล ความสำเร็จในอาชีพ การค้นพบความหมายของชีวิต สุขภาพทางกาย และ สุขภาพจิต ล้วนได้รับผลกระทบจากสัมพันธภาพระหว่างบุคคล บุคคลที่มีสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่นจะรู้สึกว่าชีวิตมีค่า มีความหมาย และสามารถพัฒนาตนให้ไปถึงศักยภาพสูงสุดของตนได้ แต่บุคคลที่ไม่สามารถมีสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่นได้ จะรู้สึกว่า ชีวิตอ้างว้างโดดเดี่ยว ไร้ความหมาย และนำไปสู่พฤติกรรมที่เป็นปัญหาได้ เช่น พฤติกรรมแยกตัวจากสังคม การติดยาเสพติด เป็นต้น
การสร้างและคงไว้ซึ่งสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่นจะเกิดบรรลุผลได้ ต้องอาศัยทักษะการสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่น ได้แก่ การเปิดเผยตนเอง การไว้วางใจซึ่งกันและกัน การสื่อสารความเข้าใจ การยอมรับและส่งเสริมซึ่งกันและกัน
การเปิดเผบตนเอง และการไว้วางใจซี่งกันและกันที่เหมาะสม เป็นทักษะที่ทำให้การสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคล ได้เริ่มต้นขึ้นและ มีการดำเนินต่อไป การเปิดเผยตนเองและการไว้วางใจซึ่งกันและกันที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดผลเสียต่อสัมพันธภาพได้
การสื่อสารความเข้าใจ เป็นทักษะการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจต่อกันของบุคคล ได้แก่ การฟัง การถาม การทวนเนื้อความ และการสะท้อนความรู้สึก
ทักษะการสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคล จะช่วยให้สัมพันธภาพได้มีโอกาสเริ่มต้นขึ้นและดำเนินต่อไป เป็น สัมพันธภาพ ที่แน่นแฟ้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น และคงไว้ซึ่งสัมพันะภาพที่ดีต่อกันได้ ด้วยบรรยากาศของความเชื่อใจและไว้วางใจซึ่งกันและกัน และการสื่อสารความเข้าใจต่อกัน
ที่มา : ทักษะการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น (novabizz.com)
4 วิธีการสร้างสัมพันธภาพที่อบอุ่นในครอบครัว

1. เอาใจใส่กันเสมอ
หากคุณพ่อคุณแม่เอาใจใส่ ช่วยเหลือเกื้อกูลกันเสมอ ไม่ปล่อยปละละเลยกัน เวลาไม่เข้าใจกันก็คุยกันด้วยเหตุผล ยอมรับข้อเสีย และยอมปรับปรุงให้ดีขึ้น ก็จะช่วยให้ความมั่นคงด่านแรกของครอบครัวแข็งแรงมากยิ่งขึ้น
แต่หากครอบครัวไหน คุณพ่อคุณแม่ไม่ดูแลเอาใจใส่กัน ทะเลาะเบาะแว้ง และไม่มีใครยอมใคร ความสัมพันธ์ด่านแรกก็ถือว่าสั่นคลอนไปมากกว่าครึ่งแล้วใช่ไหมละค่ะ และหากยังเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ในวันนึงชีวิตคู่ของคุณพ่อคุณแม่ครอบครัวนี้ ก็อาจจะมาถึงจุดแตกหักก็เป็นได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นคงไม่ดีแน่
ครอบครัวที่พ่อแม่แยกทางกันจะส่งผลให้เด็ก ๆ เกิดความรู้สึกไม่มั่นคงปลอดภัย รู้สึกว่าพวกเขาได้รับความรักความอบอุ่นไม่มากพอ หรือคิดว่าตัวเองไม่ได้รับมัน สิ่งนี้เองจะเป็นรอยร้าวรอยใหญ่ที่อาจจะเกิดขึ้นในจิตใจของทุกคนในบ้าน ซึ่งมันจะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อการมีสัมพันธภาพที่ดีในครอบครัวอย่างแน่นอน
2. ความเข้าใจ
การที่สมาชิกแต่ละคนในบ้านพยายามทำความเข้าใจความรู้สึกนึกคิด นิสัย ตัวตน และความต้องการของกันและกัน และค่อย ๆ ปรับจูนหาตรงกลางที่พอดีสำหรับทุกคนในบ้าน หาจุดที่ทำให้ทุกคนได้ทำ ได้เป็น ในสิ่งที่ต้องการภายใต้ขอบเขตที่ทุกคนในบ้านยอมรับได้
รับฟังความคิดเห็นของกัน และกัน เข้าใจ และคอยให้กำลังใจกันอยู่เสมอ สิ่งนี้จะช่วยสร้าง และเชื่อมโยงสายใยแห่งความผูกพัน เชื่อใจ และความรักของคนในครอบครัวให้เข้ามาผูกกันอย่างแน่นแฟ้น และมั่นคงมากยิ่งขึ้น
3. การพูด
การพูดที่จะช่วยทำให้สัมพันธภาพของคนในครอบครัวดี และอบอุ่นมากยิ่งขึ้นคือการพูดคุยด้วยความให้เกียรติซึ่งกัน และกัน คอยถามสารทุกข์สุบดิบกันอยู่เสมอ เมื่อใครทำสิ่งไหนได้ดี หรือประสบความสำเร็จในการทำอะไรก็คอยพูดชื่นชม หรือหากใครทำบางสิ่งที่ผิดพลาดล้มเหลวก็ค่อยปลอบโยน คอยสอนสิ่งที่ถูกต้อง และคอยให้กำลังใจกันอยู่เสมอ
4. ใช้เวลาร่วมกัน
พยายามหาเวลาในแต่ละวันให้ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน อย่างน้อยในหนึ่งวันก็ควรจะมีเวลาสักหนึ่งช่วงที่ถือเป็นเวลาครอบครัว ที่คนในบ้านจะได้มารวมตัวกัน เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ หรือสิ่งที่ได้พบเจอมาในแต่ละวันให้กันฟัง
การทำแบบนี้ทุกคนในบ้านก็จะได้รู้ความเป็นไปของกัน และกัน เป็นการสร้างความสนิทสนม ความไว้เนื้อเชื่อระหว่างกัน ให้มีมากยิ่งขึ้น และแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น เมื่อทุกคนในบ้านสนิทใจกัน เชื่อใจกัน พูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ก็จะทำให้เวลาเด็ก ๆ หรือคนในบ้านมีปัญหา หรือเรื่องที่ไม่สบายใจ ก็จะเลือกมาปรึกษากับคนในครอบครัวมากกว่าจะไปปรึกษาเพื่อน หรือไปลองผิดลองถูกเองคนเดียว
ที่มา : 4 วิธีการสร้างสัมพันธภาพที่อบอุ่นในครอบครัว | Brainfit Thailand